สิบเอกหญิงนิตยา เปลี่ยนไธสง ประเภท ประชาชน AG08-2 ตำบลบ้านดู่ อำเภอนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์
โครงการขยับเคลื้อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG(U2T for BCG) มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์

4 เทคนิคการทำ Online Marketing ที่ทำได้ และเห็นผลจริง!

1. Social Media Marketing

การทำตลาดผ่าน Social Media เป็นช่องทางง่ายๆ เช่น Line, Facebook, Twitter, Instagram และ YouTube ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกแบรนด์คุ้นเคยกันดี ข้อดีของ Social Media Marketing คือ ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าจำนวนมาก โดยใช้หลักการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ รวมถึงกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดในเรื่องการสื่อสาร ลูกค้าสามารถเก็บข้อมูลจากแบรนด์ได้เต็มที่ ในขณะเดียวกันแบรนด์ควรทำคอนเทนต์ที่ตรงใจ และทำอย่างสม่ำเสมอ

Tip เล็กๆ ที่เราอยากแนะนำในการทำ Social Media Marketing คือ การทำความเข้าใจแพลตฟอร์ม เนื่องจากแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นจุดด้อยในแบบของตัวเอง เช่น Facebook เน้นภาพ วิดีโอยาว การทำ Live video หรือ Instagram เน้นภาพสวยและวิดีโอสั้น ฯลฯ รวมถึงต้องศึกษาอัลกอริทึ่มของแพลตฟอร์มเพื่อให้การทำตลาดออนไลน์มีประสิทธิภาพที่สุด

2. Search Engine Optimization (SEO)

Social Media ไม่ใช่ช่องทางเดียวในการเข้าถึงผู้บริโภค สำหรับธุรกิจที่มีเว็บไซต์ การทำ SEO จะช่วยส่งคนเข้าเว็บไซต์ได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มอันดับการค้นหาให้เว็บไซต์ติดอันดับแรกๆ เมื่อเว็บไซต์ติดอันดี ก็ย่อมมีคนเจอเว็บไซต์ของเราง่ายขึ้น จึงทำให้มีผู้เข้ามาใช้เว็บไซต์เพิ่มขึ้น โอกาสในการขายจึงมีมากขึ้นนั่นเอง

ขั้นตอนสำคัญที่สุดในการทำ SEO คือ การหาว่ากลุ่มเป้าหมายจะเสิร์ชคำว่าอะไร โดยดูจากหลายปัจจัย เช่น การเลือกคำที่มีคนค้นหาเยอะๆ “Covid-19 อาการเริ่มต้น” “เครื่องสำอาง ถูกและดี” เป็นต้น หรือจะเลือกคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว ช่วงเดือนเมษายน อาจเลือกคำว่า “ที่พัก สงกรานต์” “โรงแรมติดทะเล” หรือ “ร้านอาหาร ภูเก็ต” เป็นต้น และ Tip สุดท้ายที่อยากแนะนำคือ การสืบจากคู่แข่ง ดูว่าพวกเขาทำคอนเทนต์อะไร คอนเทนต์ไหนน่าสนใจ ผลตอบรับเป็นอย่างไร แล้วเราจะดึงจุดแข็งของตัวเองมาสู้ได้อย่างไร

วันนี้เราก็ขอเปิดวาร์ปแจกโปรแกรมค้นหา Keyword ฟรี นั่นคือ Google Keyword Planner คือ เครื่องมือที่อยู่ใน Google Ads หรือ Google AdWords เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นหาคีย์เวิร์ดเพื่อทำเว็บไซต์ เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือหาคีย์เวิร์ดได้แล้ว ยังเป็นวิธีการเรียนรู้เครื่องมือทำเว็บไซต์ของ Google ในเวลาเดียวกัน แถมอีกหนึ่งเครื่องมือคือ Google Trends คือ เครื่องมือฟรีของ Google อีกเครื่องมือหนึ่ง ที่ช่วยให้เรารู้ว่าคำค้นแต่ละคำมีคนหาเยอะแค่ไหนในแต่ละพื้นที่ แนวโน้มการค้นหาที่ผ่านมา รวมคีย์เวิร์ดในกลุ่มเดียวกัน หรือคีย์เวิร์ดที่คล้ายกันเนื่องจากการสะกดผิดก็ได้

3. Performance Marketing

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา จำนวนธุรกิจที่กระโดดเข้ามาบนแพลตฟอร์มออนไลน์นั้นมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการแข่งขันทางด้านการตลาดออนไลน์ที่สูงขึ้นไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการทำการตลาดออนไลน์ก็มี Pain Point อยู่ค่อนข้างมาก ทำให้การทำ ‘Performance Marketing’ เข้ามามีบทบาทสำคัญ ที่จะช่วยให้การทำการตลาดออนไลน์นั้นมีความครบวงจร และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Performance Marketing คือ การทำ Performance Marketing จะเน้นย้ำไปที่การทำการตลาดออนไลน์เพื่อเป้าหมายทางธุรกิจ เช่น การมียอดขายที่เพิ่มขึ้น หรือการมีจำนวนผู้ใช้งานที่มากขึ้น ผ่านการวัดค่า Metrics ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ROI (Return on Investment), ROAS (Return on Ads Spendin) หรือ อัตราการซื้อ (Conversion) ในการทำ Digital Marketing ธุรกิจส่วนมากจะทำการตลาดในหลายๆ ช่องทาง แต่ไม่สามารถวัดผลได้ว่าผลตอบรับที่เข้ามานั้นมาจากช่องทางไหน หรือไม่สามารถที่จะดูได้ว่าช่องทางไหนมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะขาดหนึ่งปัจจัยสำคัญไปคือ ‘ระบบ Tracking’ ซึ่งสิ่งนี้นี่แหละที่เป็นหัวใจหลักของการทำ Performance Marketing ดังนั้น Performance Marketing = วัดผลได้

ทำให้สิ่งที่จะแตกต่างจากการทำ Online Marketing คือ Performance Marketing จะเน้นย้ำไปที่กระบวนการ และวิธีการทำการตลาดออนไลน์ ในส่วนของ Online Marketing จะเป็นเพียงเครื่องมือที่ให้นักการตลาดหยิบมาใช้ ซึ่งทั้งสองส่วนนี้มีปัจจัยที่ช่วยเกื้อหนุนกันทางใดทางหนึ่ง

4.Influencer Marketing

หากจะบอกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นยุครุ่งเรืองของ Influencer Marketing ก็คงไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นช่องทางไหน ก็ล้วนแต่เต็มไปด้วย Influencer ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค แบรนด์จึงควรพิจารณาการใช้พลังของอินฟลูเอนเซอร์เพื่อสร้างการรับรู้และสร้างยอดขาย

สิ่งที่คุณจะได้รับเมื่อใช้ Influencer Marketing คือ จำนวนผู้ติดตามที่มาพร้อมตัวอินฟลูฯ ซึ่งพลังของเหล่าอินฟลูฯ จะช่วยโน้มน้าวใจให้ผู้ติดตามเปิดใจรับแบรนด์ของคุณมากขึ้น อีกทั้งยังได้คอนเทนต์คุณภาพไม่ว่าจะเป็นภาพ ข้อความ หรือวิดีโอที่จะคงอยู่ในโลกโซเชียลไปอีกนาน คุณสามารถนำคอนเทนต์นี้มาใช้ PR ต่อได้ ทั้งนี้ สำคัญสุดอยู่ที่การเลือก Influencer ที่ต้องเป็นคนที่มีผู้ติดตามตรงกับที่แบรนด์ต้องการ เพราะ Influencer เปรียบเหมือนตัวแทนของแบรนด์ เป็นภาพลักษณ์ ดังนั้นจึงต้องเลือกคนที่เสริมภาพลักษณ์แบรนด์ และต้องน่าเชื่อถือ