เชื่อว่าหลายคนคงยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจ  ถ้าพูดเรื่องการกินแมลง  พูดให้จำเพาะเจาะจงลงไปอีก  เรากำลังพูดถึง “จิ้งหรีด” จากการได้ลงพื้นที่ปฏิบัติงานของทีมตำบลโคกตูม  อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์  ณ พงษ์พันธ์ฟาร์มจิ้งหรีดของคุณบุญช่วย  คุณบุญช่วยเจ้าของฟาร์ม  บอกว่า  แมลงหลายชนิดอย่างเช่นจิ้งหรีดนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูง  เพาะเลี้ยงได้ง่าย  ใช้เวลาไม่นาน  มีต้นทุนการผลิตต่ำ  สิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากรน้อยกว่าปศุสัตว์ทั่วไป  ทำให้ลดการทำลายสิ่งแวดล้อม  จึงเหมาะสมสำหรับการเป็นอาหารแห่งอนาคต

จิ้งหรีดนั้นเป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอด  โดยจิ้งหรีด 3 ขีดจะมีโปรตีนเท่ากับเนื้อ 1 กิโลกรัม  แต่แมลงนั้น ย่อยง่ายกว่า  นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 มีแคลเซียมมากกว่านม  มีธาตุเหล็กมากกว่าผักขม  และมีกรดอะมิโนแอซิดที่จำเป็น  อย่างไรก็ดี  ถึงจะเป็นอาหารแห่งอนาคต  ถึงจะมีประโยชน์มากแค่ไหน  แต่คุณบุญช่วยบอกว่าหลายคนคงทำใจยากกับการกินแมลงเป็นตัวๆ  ทางผู้ปฏิบัติงานของทีมตำบลโคกตูม  อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์  จึงช่วยกันคิดค้นหาวิธีการต่างๆที่สามารถแปรรูปจิ้งหรีดให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้สนใจจะรับประทานกล้าที่จะรับประทานจึงเกิดผลิตภัณฑ์ผงโปรตีนจิ้งหรีดขึ้น   ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์จากแมลงได้ง่ายขึ้น  เพราะกินโดยที่ไม่ต้องเห็นตัวมันนั่นเอง  โดยกระบวนการ แปรรูปเป็นผงโปรตีนนั้น  ก็คือการนำจิ้งหรีดมาอบแห้งแล้วก็นำมาบดเป็นผงละเอียด  นำไปเป็นส่วนผสมของ อาหารได้ทุกชนิด เช่น เค้ก คุกกี้ มักกะโรนี พิซซ่า  ซีเรียลบาร์

สรุปทำไมต้องกินจิ้งหรีดเพราะมีประโยชน์ต่อร่างกายที่คาดไม่ถึง จิ้งหรีดเป็นแหล่งของสารอาหารชั้นดี  อุดมไปด้วยโปรตีนสูงถึง 70% และกรดไขมันที่มีประโยชน์  อีกทั้งยังมีวิตามินและแร่ธาตุสูง,  Vitamin B12 มากกว่าปลาแซลมอน, โปรตีนสูงกว่า เนื้อไก่ และ เนื้อวัว,แคลเซียมสูงกว่านมวัว และมีธาตุเหล็กมากกว่าผักโขมนอกจากนี้ยังดีต่อสิ่งแวดล้อมเพราะปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับการฟาร์มสัตว์อื่นๆ เช่น หมู ไก่ วัว เป็นต้น  ในส่วนของรสชาติของผงจิ้งหรีดนั้น  มีลักษณะเป็นผงละเอียดคล้ายน้ำตาลทรายแดงและ มีกลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายธัญพืช และรสชาติมันๆคล้ายถั่ว