บทความชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายหลักการของความเป็นประชาธิปไตยในบริบทวัฒนธรรมชุมชนในตำบลโคกตูม อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ จากการลงพื้นที่พูดคุยกับกลุ่มชาวบ้าน  ในตำบลโคกตูม อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์  ได้มีการส่งเสริมวิถีประชาธิปไตยแนวทางการส่งเสริมวิถีชีวิตประชาธิปไตยในทางปฏิบัติโดยการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมของประชาชนดังนี้

  1. การส่งเสริมประชาธิปไตยในครอบครัว โดยสมาชิกในครอบครัวมีความรักใคร่ปรองดอง  กันเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ในฐานะที่เป็นผู้ที่มีประสบการณ์และเป็นผู้รับผิดชอบต่อครอบครัว พ่อแม่ ยอมรับฟังความเห็น  ความต้องการของลูก  ตัดสินปัญหาต่างๆ โดยใช้เหตุผลมากกว่าที่จะใช้อารมณ์ปรึกษาหารือกันในเรื่องที่สําคัญและเกี่ยวข้องกับผู้นั้น  พ่อแม่ลูกรู้จักหน้าที่ของตนเอง  และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบเต็มใจ
  2. การส่งเสริมประชาธิปไตยในชุมชน โดยร่วมในการประชุมหรือกิจกรรมของชุมชนอย่างเต็มใจ  รับฟังความคิดเห็นของทุกคน และไม่ถือโทษโกรธเคืองกันแม้จะมีความเห็นขัดแย้งกัน  ตัดสินใจโดย  ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์มีการปรึกษาหารือกันในขณะทํางาน  ร่วมกันแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องต่างๆ  มากกว่าที่จะคอยซ้ำเติม  เคารพกฎระเบียบของชุมชนและกฏหมาย  ติดตามข่าวสารและแลกเปลี่ยน  ความคิดเห็นระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ  ตัดสินปัญหาโดยเปิดโอกาสให้มีการแสดงความเห็นอย่าง  กว้างขวาง  ไม่ควรรีบร้อนให้มีการลงมติ

3.การถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์  ในการประชุมหรือมีการจัดกิจกรรมต่างๆของชุมชนจะใช้เกณฑ์การตัดสินใจซึ่งเลือกทางที่มีคะแนนเสียงข้างมาก  เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน

นอกจากนี้ชาวบ้านในตำบลโคกตูม  อำเภอประโคนชัย  จังหวัดบุรีรัมย์  ยังนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต  โดยการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ไว้รับประทานเอง  และยังทำให้ทางทีมได้พบกับนายบุญช่วย ซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์มจิ้งหรีด  ในตำบลโคกตูม  อำเภอประโคนชัย  จังหวัดบุรีรัมย์  จากการได้พูดคุยกับคุณบุญช่วยเกี่ยวกับการเลี้ยงจิ้งหรีด  คุณบุญช่วยเล่าว่าตนยึดการทำนาเป็นอาชีพหลัก  และทำอาชีพเสริมด้วยการเลี้ยงจิ้งหรีด  ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง  ในส่วนของขั้นตอนการเลี้ยงนั้น  ตั้งเเต่เเรกเกิดจนนำออกมาขาย  มีขั้นตอนดังนี้ เเรกเกิดนำไข่มาฝัก 8-9 วัน  เพื่อฝักเป็นตัวอ่อน  หลังจากฝักเป็นตัวอ่อนได้ 2-3 วัน  มาวางด้วยถาดน้ำเลี้ยงอาหารด้วยรำข้าวเเละหัวอาหาร  พอเริ่มโตก็เลี้ยงด้วยผักโดยหามาได้ตามชุมชน  เช่นผักโขม  ผักบุ้ง  พอ ร่วมๆ เป็นเวลา 45 วัน ก็นำออกไปจำหน่ายขายให้ลูกค้า  ในส่วนของมูลจิ้งหรีดคุณบุญช่วยก็จะขายให้ชาวบ้านที่สนใจ  ในราคา 50 บ.ต่อ 1 กระสอบ  ในส่วนของตัวจิ้งหรีดนั้นก็จะขายอยู่ที่ กก.ละ120 บ.  และคุณบุญช่วยยังบอกอีกว่าจิ้งหรีดนั้นเป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอด  โดยจิ้งหรีด 3 ขีดจะมีโปรตีนเท่ากับเนื้อ 1 กิโลกรัม  ถึงจะมีประโยชน์มากแค่ไหน  แต่คุณบุญช่วยบอกว่าหลายคนคงทำใจยากกับการกินแมลงเป็นตัวๆ  จึงทำให้ทางทีมงานสนใจที่จะทำการแปรรูปจิ้งหรีดและมูลจิ้งหรีดเพื่อที่จะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ขึ้นมาใหม่ในตำบลโคกตูม  อำเภอประโคนชัย  จังหวัดบุรีรัมย์  นอกจากจะทำให้มีผลิตภัณฑ์ขึ้นมาใหม่แล้วทางทีมงานยังคิดที่จะต่อยอดให้เป็นอาชีพหลักอีกทางเลือกหนึ่งของกลุ่มชาวบ้านในตำบลที่สามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้  โดยการนำจิ้งหรีดไปแปรรูปเป็นผงโปรตีนจากจิ้งหรีด  และปุ๋ยอัดเม็ดจากมูลจิ้งหรีด  ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าของจิ้งหรีดและมูลจิ้งหรีดได้มากพอสมควรนอกจากจะเพิ่มมูลค่าแล้วยังเป็นจุดสนใจของกลุ่มคนรักสุขภาพและเป็นจุดสนใจของกลุ่มคนรักต้นไม้อีกด้วย